หากย้อนกลับไปตอนเริ่มต้นของ Attack on Titan ใครจะคิดว่าเด็กชายผู้เต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อไททัน จะกลายเป็นศัตรูของโลกทั้งใบ เด็กหนุ่มที่เคยปฏิญาณจะ “ฆ่าไททันให้หมด” สุดท้ายกลับเป็นคนที่ปลุกไททันนับล้านเพื่อบดขยี้มนุษยชาติด้วยตัวเอง เรื่องราวของเอเรน เยเกอร์ ไม่ได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่มันจบลงด้วยคำถามมากมาย ทั้งเรื่องศีลธรรม ความถูกผิด และ “เสรีภาพ” ที่เขายึดมั่นมาตลอดชีวิต
หลังจากค้นพบความจริงนอกกำแพง เอเรนเริ่มเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มผู้มีประกายแห่งความหวังอีกต่อไป แต่กลายเป็นคนที่เงียบขรึม เย็นชา และเก็บทุกอย่างไว้ในใจ ภายนอกดูมั่นคง แต่นัยน์ตาของเขากลับแฝงด้วยความเจ็บปวด และความตัดสินใจที่เขาเองก็ไม่ได้อยากจะทำ เอเรนเลือกจะเป็น “ปีศาจ” เพราะเขาเห็นว่ามันเป็นทางเดียวที่พาราดิสจะอยู่รอด ท่ามกลางโลกที่มองว่าชาวเอลเดียคือภัยคุกคาม เขาตัดสินใจเปิดใช้พลังของบรรพบุรุษ จุดชนวน The Rumbling หรือการปลุกไททันในกำแพงนับล้านให้เดินหน้าถล่มโลก จนทุกคนต้องยอมจำนน นี่ไม่ใช่การแก้แค้น แต่มันคือ “การล้างกระดาน” เพื่อเริ่มต้นโลกใหม่ ซึ่งสำหรับเอเรนแล้ว มันคือการเสียสละตัวเองเพื่ออิสรภาพของเพื่อนที่เขารัก
สิ่งที่น่าสนใจ คือ เอเรนไม่เคยแสดงความรู้สึกชัดเจนว่าทำทั้งหมดไปเพื่ออะไร แต่จากการพูดคุยระหว่างเขากับอาร์มินในตอนสุดท้าย เราเริ่มเข้าใจว่าเอเรนแบกรับภาระมากเพียงใด เขาเห็นอนาคตทั้งหมดผ่านพลังของไททันบรรพบุรุษ และรู้ว่าตัวเองไม่มีทางหนีโชคชะตาไปได้ เขาไม่ได้อยากทำลายโลก แต่ในเมื่อรู้ว่าจุดจบจะมาถึงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาจึงเลือกที่จะ “เล่นบทตัวร้าย” เพื่อให้โลกสามัคคีกันต่อต้านเขา และในขณะเดียวกัน ก็สร้างโอกาสให้เพื่อนๆ เป็น “ผู้กอบกู้” แทน ความเจ็บปวดของเอเรนไม่ได้อยู่ที่การฆ่าคน แต่มันอยู่ที่การยอมเป็นศัตรูกับคนที่เขารัก เพื่อให้พวกเขาได้อยู่รอด แม้เขาจะไม่อยู่ในวันนั้นก็ตาม
เมื่อ The Rumbling เริ่มต้นขึ้น ไม่มีใครสามารถหยุดมันได้ เว้นแต่เอเรนจะถูกฆ่า และนั่นคือภารกิจสุดท้ายของกลุ่มพันธมิตรที่น่าเหลือเชื่อที่สุดในเรื่อง อดีตศัตรูร่วมมือกันเพื่อหยุดยั้งหายนะของโลก รีไว, มิคาสะ, อาร์มิน, ไรเนอร์, อันนี่, พีก และแม้แต่คนจากมาเลย์ ล้วนร่วมมือกันอย่างฝืนใจ เพราะพวกเขารู้ว่า ไม่มีเวลามานั่งถกเถียงเรื่องความถูกผิดอีกต่อไป โลกทั้งใบกำลังถูกบดขยี้ และผู้ที่ปลุกไททันเหล่านั้น คือเพื่อนของพวกเขาเอง นี่เป็นช่วงเวลาที่สะท้อนให้เห็นว่า ความเกลียดชังอาจถูกลบได้ด้วยความเข้าใจ และเมื่อเผชิญกับภัยพิบัติใหญ่ที่สุด มนุษย์ย่อมต้องหันมาพึ่งพากัน ไม่ว่าจะมาจากฝั่งไหน
ภารกิจสุดท้ายสิ้นสุดลงที่ “ต้นไม้ยักษ์” ในจินตภาพอันลึกซึ้ง เอเรนรออยู่ที่นั่น พร้อมยอมรับชะตากรรม มิคาสะคือคนที่ต้องเป็นผู้ตัดสินทุกอย่าง เธอเลือกจะยุติ The Rumbling ด้วยน้ำมือตัวเอง โดยไม่มีคำพูดใดๆ มีเพียงความรักที่ยังไม่เคยได้พูดออกไป การตายของเอเรนไม่เพียงแต่หยุดการทำลายล้าง แต่มันยังทำให้พลังของไททันทั้งหมดหายไปอย่างสมบูรณ์ เหล่าผู้ถือครองพลังไททันกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง เหมือนว่าทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ได้จริงๆ สุดท้ายสิ่งที่ปลดปล่อยมนุษย์จากพันธนาการหลายร้อยปี ไม่ใช่พลัง ไม่ใช่การต่อสู้ แต่คือ “การยอมเสียสละ” เอเรนไม่ได้ตายอย่างคนร้าย แต่ตายอย่างฮีโร่ที่ไม่มีใครยอมรับในตอนแรก และนั่นคือความเศร้าที่ลึกที่สุดของเรื่องนี้
หลังจากพลังไททันหายไป โลกไม่ได้สงบลงทันที ชาวมาเลย์และเอลเดียยังมีแผลเก่าให้สะสาง แต่ความร่วมมือในสงครามสุดท้าย ได้เปิดทางให้เกิดการเจรจาที่แท้จริง โลกได้เห็นแล้วว่า ไม่ใช่ชาวเอลเดียทุกคนที่เป็นภัย และไม่ใช่ทุกคนที่อยากใช้ไททันทำลายล้าง มิคาสะกลับไปยังพาราดิส ใช้ชีวิตเงียบ ๆ ที่หลุมศพของเอเรน พร้อมความรู้สึกที่ไม่มีวันจางหาย อาร์มินและคนอื่น ๆ กลายเป็นผู้แทนเชื่อมโยงสองฝั่งโลก ความเจ็บปวดของพวกเขา กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เสรีภาพในแบบของเอเรน ไม่ได้มีความสุขเสมอไป แต่มันคือเสรีภาพที่ปลดล็อกพันธนาการในใจของคนทั้งโลก แม้จะต้องแลกด้วยหัวใจของตัวเอง
ตอนจบของ Attack on Titan ทำให้หลายคนรู้สึกหลากหลาย บางคนเจ็บปวด บางคนเข้าใจ บางคนสับสน แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนสัมผัสได้คือ ความงามของโศกนาฏกรรมนี้ ทุกตัวละครมีความลึก มีความเจ็บ มีความฝัน และทุกการตัดสินใจ ไม่เคยง่ายเลย เอเรนไม่ใช่พระเอกที่ใครก็รัก แต่เขาคือมนุษย์ธรรมดาที่ต้องทำสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ เขาไม่สมบูรณ์แบบ และเพราะแบบนั้น เขาจึงน่าจดจำที่สุด ผ่าพิภพไททัน ไม่ได้จบลงด้วยการเฉลิมฉลอง แต่มันจบลงด้วยความเงียบสงบ ที่เต็มไปด้วยคำถามในใจเราว่าสุดท้ายแล้ว “เสรีภาพ” ที่แท้จริงคืออะไร