หลังจากผ่านเหตุการณ์มากมาย ทั้งการสูญเสียและความคลุมเครือที่ค่อย ๆ เปิดเผยออกมาทีละนิด การเดินทางของเอเรน เยเกอร์และเหล่ากองสำรวจก็มาถึงจุดที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่อง ในภารกิจสุดท้ายเพื่อ “ชิงคืนกำแพงมาริอา” นอกจากจะเป็นการเอาคืนบ้านเกิดจากไททันแล้ว มันยังเป็นภารกิจที่พาไปพบกับความจริงที่ถูกซ่อนอยู่มานานแสนนาน ใต้ชั้นใต้ดินของบ้านเอเรน ที่นั่นคือกุญแจที่จะไขปริศนาทั้งหมด
แผนการชิงคืนกำแพงมาริอาถูกวางไว้อย่างรัดกุม กองสำรวจที่เหลืออยู่ทุ่มสุดตัว แม้จะรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้อาจไม่มีใครได้กลับมา เหล่าไททันที่รออยู่ รวมไปถึง “เบิร์ตโฮลด์” และ “ไรเนอร์” ที่เผยตัวว่าเป็นไททันเกราะและไททันมหาภัย ต่างก็พร้อมจะปกป้องจุดยุทธศาสตร์สุดท้ายนี้อย่างสุดชีวิต แต่สิ่งที่รออยู่กลับไม่ใช่แค่ไททันธรรมดา หรือศัตรูในรูปร่างมนุษย์เท่านั้น ยังมี “ซีก เยเกอร์” หรือไททันสัตว์ ที่ปรากฏตัวพร้อมพลังการควบคุมไททันตัวอื่นๆ และกลยุทธ์แบบนักรบเต็มตัว ทำให้การต่อสู้นี้กลายเป็นหนึ่งในฉากที่ลุ้นที่สุดของทั้งซีรีส์ ความยิ่งใหญ่ของการบุก การเสียสละ และความเด็ดเดี่ยวของแต่ละตัวละคร ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในสนามรบจริงๆ
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า เออร์วิน สมิธ คือหัวใจของกองสำรวจ ความเป็นผู้นำของเขาคือแรงผลักดันที่ทำให้หลายคนยอมเสี่ยงตายไปพร้อมกัน และในภารกิจชิงคืนกำแพงครั้งนี้ เขาก็ทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายด้วยการนำทัพออกไปเผชิญหน้ากับไททันสัตว์ โดยใช้ชีวิตของเหล่าทหารเป็นตัวล่อ เพื่อเปิดทางให้รีไวสามารถเจาะเข้าหาศัตรูได้ การเสียสละของเขาสร้างแรงสะเทือนทั้งต่อตัวละครและคนดู และยิ่งปวดใจเมื่อรีไวต้องเป็นคนตัดสินใจเลือกว่า จะช่วยชีวิตใครระหว่าง “เออร์วิน” ผู้นำที่ทุกคนศรัทธา หรือ “อาร์มิน” เด็กหนุ่มที่มีความคิดเฉียบแหลม และเป็นความหวังของวันพรุ่งนี้ นี่คือฉากที่แสดงให้เห็นว่าโลกของ Attack on Titan ไม่มีคำว่า “ถูก” หรือ “ผิด” มีแต่ทางเลือกที่ต้องรับผิดชอบ และมันทำให้เรื่องนี้เหนือชั้นยิ่งกว่าอนิเมะทั่วไป
เมื่อกำแพงถูกยึดคืน เอเรนจึงได้กลับไปยังบ้านที่เคยอยู่กับพ่อแม่ และค้นหาความลับที่กริชา เยเกอร์ พ่อของเขาทิ้งไว้ในห้องใต้ดิน สิ่งที่เขาและเพื่อนๆ ได้เจอ ไม่ได้เป็นแค่เอกสารทั่วไป แต่มันคือบันทึกที่เปลี่ยนความเข้าใจของพวกเขาไปตลอดกาล ในบันทึกนั้น กริชาเล่าว่าเขาไม่ได้เกิดในโลกภายใต้กำแพง แต่เกิดที่ “มาเลย์” ประเทศที่อยู่ในโลกภายนอก ซึ่งมีเทคโนโลยีก้าวหน้าและรู้เรื่องพลังไททันมานานแล้ว แถมยังมีการกดขี่ชนเผ่าเอลเดีย กลุ่มคนที่มีสายเลือดที่สามารถแปลงร่างเป็นไททันได้ บันทึกนี้ไม่เพียงแต่เล่าถึงการต่อสู้ของกริชาในฐานะนักปฏิวัติ แต่ยังเผยถึงการสืบทอดพลังไททัน และเป้าหมายที่แท้จริงของเขาในการให้เอเรน “รับช่วงต่อ”
เมื่อเอเรนและพรรคพวกได้รู้ว่า “กำแพง” ที่พวกเขาเชื่อมาตลอดว่าเป็นขอบเขตของโลก แท้จริงแล้วมันเป็นเพียง “กรงขัง” ขนาดใหญ่ พวกเขาก็เริ่มตั้งคำถามกับทุกอย่างทันที สิ่งที่เลวร้ายที่สุดไม่ใช่การมีศัตรูที่เป็นไททันอยู่ภายนอก แต่มันคือการถูกหลอกให้เชื่อว่าไม่มีอะไรอยู่นอกกำแพง และต้องใช้ชีวิตอยู่ในความกลัวตลอดไป ในความเป็นจริง “พาราดิส” คือเกาะที่ถูกตัดขาดออกจากโลก เพราะคนบนแผ่นดินใหญ่อย่าง “มาเลย์” มองว่าชาวเอลเดียบนเกาะเป็นภัยคุกคามที่ต้องกำจัดให้หมด ความเกลียดชังที่ฝังรากลึกผ่านรุ่นสู่รุ่น ทำให้เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่การต่อสู้ระหว่างคนกับไททันอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นสงครามระหว่าง “อุดมการณ์” กับ “ประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนขึ้นจากฝ่ายเดียว”
ความขัดแย้งระหว่างเอลเดียกับมาเลย์ ไม่ได้มีเพียงแค่สงครามทางกายภาพ แต่ยังเต็มไปด้วยความสับสนในเรื่องของศีลธรรมและความเชื่อ เอลเดียในอดีตเคยใช้พลังไททันในการปกครองคนทั่วโลก จนถูกเกลียดชัง แต่ในมุมกลับ ชาวเอลเดียรุ่นใหม่ในเกาะพาราดิสกลับไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย พวกเขาเพียงแค่ “สืบทอดความเกลียดชัง” โดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องราวทั้งหมดที่บันทึกของกริชาเปิดเผย จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เอเรนต้องเลือกเส้นทางใหม่ เขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อกำจัดไททันอีกต่อไป แต่เพื่อ “อิสรภาพ” ในแบบของเขาเอง ซึ่งนั่นคือการพาเราเข้าสู่บทถัดไปของเรื่องราวที่ทั้งเข้มข้นและเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
Attack on Titan ไม่ได้แค่เผยความลับที่ถูกปกปิดมานาน แต่มันยังทำให้คนดูต้องคิดหนักกับคำถามที่ว่า “ใครกันแน่คือผู้ร้าย” เพราะทุกฝ่ายต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง ไม่มีใครที่ดีหมดหรือเลวล้วน ความจริงที่น่ากลัวกว่าคือ ความเกลียดชังสามารถส่งต่อได้โดยไม่ต้องใช้คำพูด และมันก็กลายเป็นเชื้อเพลิงให้สงครามไม่มีวันจบ
สำหรับผู้ชม บทนี้เป็นเหมือนการเปิดโลกของอนิเมะเรื่องนี้อย่างแท้จริง จากเรื่องราวการเอาชีวิตรอด กลายเป็นเรื่องราวของอำนาจ การเมือง และความหวังที่หล่นหายไปในประวัติศาสตร์ ใครที่เคยคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่การต่อสู้กับไททัน คงต้องกลับไปทบทวนอีกครั้ง เพราะสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ชั้นกำแพงนั้น ลึกและซับซ้อนกว่าที่คิดไว้มากนัก